• วิตามินซี เป็นวิตามินชนิดละลายในน้ำ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต้านการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย และช่วยลดปริมาณการเกิดอนุมูลอิสระภายในร่างกาย
  • ร่างกายไม่สามารถสร้างวิตามินซีขึ้นเองได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องได้รับวิตามินซีจากอาหารที่กินเข้าไปเท่านั้นโดยมีผักผลไม้ที่เป็นแหล่ง Vitamin C ที่สำคัญ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว
  • ร่างกายดูดซึมวิตามินซีได้จำกัดในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จึงต้องกินแบบ slow release ที่ออกฤทธิ์นาน ปลดปล่อยสารสำคัญอย่างช้าๆ และคงที่ต่อเนื่องนาน 8 ชั่วโมง

วิตามินซีมีประโยชน์มากมาย ที่รู้จักกันดีคือช่วยเสริมภูมิต้านทานจากเชื้อไวรัสหวัด แต่นอกจากนั้น การกินวิตามินซีเป็นอาหารเสริม ยังมีส่วนช่วยให้ผิวดูสุขภาพดีได้อีกด้วย

วิตามินซี (Vitamin C) คืออะไร

วิตามิน (Vitamin) มีรากศัพท์จากคำว่า Vita ที่มีความหมายว่า ชีวิต และ Amin ที่มีความหมายว่า จำเป็น ดังนั้น คำว่า Vitamin จึงหมายถึง สารที่มีความจำเป็นต่อชีวิตนั่นเอง

วิตามินซี หรือ กรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid) เป็นวิตามินชนิดละลายในน้ำที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพ เนื่องจากร่างกายต้องการวิตามินซีเพื่อนำไปใช้ในกระบวนการต่างๆ เช่น การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต้านการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย อีกทั้งยังเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidant) ช่วยลดปริมาณการเกิดอนุมูลอิสระภายในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีความจำเป็นต่อกระบวนการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวอีกด้วย1

รู้หรือไม่?! ร่างกายไม่สามารถสร้างวิตามินซีขึ้นเองได้


เนื่องจากร่างกายไม่สามารถสร้างวิตามินซีขึ้นเองได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องได้รับวิตามินซีจากอาหารที่กินเข้าไปเท่านั้น โดยมีผักผลไม้ที่เป็นแหล่ง Vitamin C ที่สำคัญ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้มและมะนาว เบอร์รีชนิดต่างๆ รวมถึงผักบางชนิด อาทิ พริกหวาน บร็อกโคลี และ มะเขือเทศ เป็นต้น

ปริมาณวิตามินซี ต่อการบริโภคผักผลไม้ 100 กรัม*

อะเซโรลา เชอร์รี
1677.6 มิลลิกรัม
พริกหวาน
127.7 มิลลิกรัม
บรอคโคลี
89.2 มิลลิกรัม
ส้ม
71 มิลลิกรัม
สตรอว์เบอร์รี
58.8 มิลลิกรัม
เลมอน
53 มิลลิกรัม
เกรปฟรุต
31.2 มิลลิกรัม
มะเขือเทศ
13.7 มิลลิกรัม

ที่มา:USDA National Nutrient Database for Standard Reference

รวม 9 ประโยชน์ของวิตามินซีที่ไม่ควรมองข้าม

รวม 9 ประโยชน์ของวิตามินซีที่ไม่ควรมองข้าม

เมื่อทราบกันไปแล้วว่าวิตามินซีคืออะไร หากินได้จากผักและผลไม้ประเภทไหนได้บ้าง บทความนี้ยังได้รวบรวมเอาประโยชน์ของวิตามินซี ทั้งแบบกิน และวิตามินซีในสกินแคร์มาไว้ให้ด้วย จะมีประโยชน์อะไรบ้าง ไปดูกันเลย

1. วิตามินซีช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย

วิตามินซี ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโดยกระตุ้นการสร้างและเสริมประสิทธิภาพการทำงานของเม็ดเลือดขาว จึงช่วยเพิ่มความสามารถในการต้านการอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย อีกทั้งยังสามารถลดการหลั่งสารฮีสตามีน (Histamine) ซึ่งจะช่วยลดน้ำมูก อาการแพ้ บวม แดง และคันได้อีกด้วย

2. วิตามินซีช่วยสร้างคอลลาเจน (Collagen)

แล้ววิตามินซีช่วยอะไรเกี่ยวกับผิวบ้าง? ผิวหนังของเรามีส่วนประกอบสำคัญที่เรียกว่า คอลลาเจน ที่ค่อยๆ ลดลงเมื่ออายุเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผิวเหี่ยวย่น ไม่เต่งตึง และเกิดริ้วรอย วิตามินซีจึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในเรื่องของการบำรุงผิวและการชะลอวัย เนื่องจากวิตามินซีคือหนึ่งในวิตามินผิวขาวกระจ่างใส เป็นส่วนประกอบสำคัญในกระบวนการสร้างคอลลาเจน โดยเฉพาะในชั้นผิวหนังที่เรียกว่า Dermis และ Epidermis ที่จะพบวิตามินซีในเนื้อเยื่อผิวสูง แต่เมื่ออายุมากขึ้นจะพบว่าปริมาณวิตามินซีในเนื้อเยื่อเหล่านี้ลดน้อยลง ยิ่งเมื่อเผชิญกับมลภาวะต่างๆ อาทิ แสงแดด ฝุ่น ควันบุหรี่ หรือควันจากท่อไอเสียแล้ว ปริมาณวิตามินซีก็จะยิ่งลดลง

อย่างไรก็ตาม จากงานวิจัยพบว่าปริมาณวิตามินซีที่เรากินเข้าไป จะไปเพิ่มระดับวิตามินซีในชั้นผิวด้วย นอกจากนี้ วิตามินซียังช่วยลดภาวะเนื้อเยื่อผิวถูกทำลายจากรังสียูวีผ่านกระบวนการต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งแตกต่างจากครีมกันแดดทั่วไปที่จะดูดซับรังสียูวีไม่ให้เข้ามาทำลายชั้นผิว และวิตามินซียังมีคุณสมบัติยับยั้งการทำงานของเอนไซม์สร้างเม็ดสี เพื่อลดการสร้างเม็ดสีมากเกินไป จึงสามารถลดรอยดำ ผิวหมองคล้ำ ทำให้ผิวขาวและกระจ่างใสขึ้น

3. วิตามินซีช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาการเป็นหวัด (Common Colds)

จากผลงานวิจัยที่ผ่านมาพบว่าการกินวิตามินซีเป็นประจำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 200 มิลลิกรัม จะช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาของการเป็นหวัด อีกทั้งวิตามินซียังเสริมภูมิคุ้มกันได้ ในขณะที่ผู้ที่ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาเป็นประจำ จะสามารถลดความเสี่ยงในการเป็นหวัดได้ถึง 50% อย่างไรก็ตาม หากผู้ที่เป็นหวัดแล้วจึงเริ่มกินวิตามินซี จะไม่สามารถลดความรุนแรงหรือระยะเวลาในการเป็นหวัดได้เลย ดังนั้น จึงควรกินวิตามินซีในปริมาณที่เหมาะสมเป็นประจำทุกวัน

4. วิตามินซีเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว

การใช้ผลิตภัณฑ์วิตามินซีในรูปแบบของเซรั่ม มีส่วนช่วยบำรุงผิว เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้โดยตัววิตามินซีจะเข้าไปลดการสูญเสียน้ำในชั้นผิวหนัง ซึ่งทำให้ผิวดูอิ่มน้ำและเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น ทำให้ผิวแลดูสุขภาพดี และไม่แห้งกร้าน4

5. วิตามินซีลดการอักเสบ รอยดำ และรอยแดงจากสิว

วิตามินซีมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยลดความแดงและบวมที่เกิดจากสิว แถมยังมีส่วนช่วยในการลดผลของเอนไซม์ไทโรซิน ซึ่งเป็นตัวการสำคัญในการสร้างเมลานิน ที่ทำให้เกิดรอยดำบนผิว ทำให้ผิวดูกระจ่างใส ลดเลือนรอยดำให้ดูจางลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และวิตามินซีในครีมบำรุงผิวยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้สามารถลดเลือนรอยแดง เผยผิวดูขาวกระจ่างใสได้อีกด้วย5

6. วิตามินซีมีส่วนช่วยลดรอยหมองคล้ำใต้ตา

วิตามินซีในครีมบำรุงผิวรอบดวงตา มีส่วนช่วยลดการผลิตเมลานินที่เป็นต้นตอของปัญหาความหมองคล้ำใต้ตา ทำให้ผิวรอบดวงตาดูสว่างขึ้น พร้อมคุณสมบัติที่ช่วยต้านการอักเสบ ช่วยลดความแดงและบวมในบริเวณรอบดวงตาที่เกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอได้อีกด้วย4

7. วิตามินซีลดการสร้างเม็ดสี ป้องกันผิวหมองคล้ำ

ส่วนผสมวิตามินซีในครีมบำรุงผิว สามารถยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิน (tyrosinase) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างเมลานินได้ เมื่อการผลิตเมลานินลดลง โอกาสเกิดผิวหมองคล้ำก็จะลดลงไปได้ด้วยเช่นกัน6

8. วิตามินซีช่วยป้องกันโรคเรื้อรัง (Chronic Disease)

วิตามินซีเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยปกป้องเซลล์จากการถูกทำลายด้วยอนุมูลอิสระที่เกิดได้จากปัจจัยภายใน เช่น กระบวนการเผาผลาญอาหารให้ได้พลังงาน (Metabolism) ความเครียด และปัจจัยภายนอก อาทิ แสงแดด อาหาร ฝุ่นและควัน บุหรี่และแอลกอฮอล์ รวมถึงการออกกำลังกายอีกด้วย

หากสารอนุมูลอิสระเหล่านี้เพิ่มสูงขึ้นก็อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายและสร้างความเสียหายต่อส่วนประกอบต่างๆ ของเซลล์ ซึ่งเป็นอีกสาเหตุสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคและความผิดปกติต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด อัลไซเมอร์ ต้อกระจก และจอประสาทตาเสื่อม รวมถึงภาวะความแก่ชราอีกด้วย

9. วิตามินซีช่วยลดความเสี่ยงเกิดโรคหัวใจ

จากการศึกษาพบว่า ผู้ที่กินวิตามินซีอย่างน้อย 700 มก. ต่อวัน สามารถลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจได้ถึง 25% และวิตามินซียังมีส่วนช่วยในการลดความดันโลหิตได้อีกด้วย เพราะมีสรรพคุณผ่อนคลายหลอดเลือด ส่งผลให้ความดันโลหิตลดลงได้นั่นเอง3

กินวิตามินซีทั้งที ต้องเลือกให้ "พอดี"

เรารู้ดีว่าแหล่งวิตามินซีธรรมชาติมักอยู่ในผลไม้รสเปรี้ยวอย่าง มะนาว ส้ม ฝรั่ง มะขาม ดังนั้น หากเรากินผลไม้เหล่านี้ได้ครบและหลากหลายเพียงพอในแต่ละวัน การเสริมวิตามินซีก็อาจไม่จำเป็น แต่สำหรับคนที่กินผลไม้รสเปรี้ยวไม่ได้ อาจจะไม่สะดวกซื้อ หรือไม่ชอบรสชาติก็ตาม รวมทั้งผู้ที่สูบบุหรี่หรือผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ อาจเลือกกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพิ่มเติมเพื่อให้ได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอ

ปริมาณที่เหมาะสมในการกินวิตามินซีในแต่ละครั้งไม่ควรเกิน 500 มิลลิกรัมเพราะร่างกายจะสามารถดูดซึมได้ดี

ในทางตรงกันข้าม หากกินวิตามินซี 1,000 มิลลิกรัมภายในครั้งเดียว ร่างกายจะดูดซึมวิตามินซีไปประมาณ 43.5% และขับออกทางปัสสาวะอีก 25% เนื่องจากปริมาณวิตามินซีในเลือดที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว นั่นหมายถึงว่า ร่างกายจะนำไปใช้ได้เพียงประมาณ 25% เท่านั้น

นอกจากนี้ ไม่ควรกินวิตามินซีมากกว่า 3,000 มิลลิกรัม เพราะจะทำให้ปวดท้อง มวนท้อง และท้องเสียได้ อย่างไรก็ตาม การกินวิตามินซีถือว่าปลอดภัยพอควร เนื่องจากวิตามินซีเป็นวิตามินที่สามารถละลายในน้ำได้ ร่างกายจะขับออกมาทางปัสสาวะตามปกติ

วิตามินซี กับการ ออกฤทธิ์นาน

"วิตามินซี" กับการ "ออกฤทธิ์นาน"

คุณอาจเคยได้ยินหรือเคยเห็นฉลากหรือเอกสารกำกับยาที่ระบุว่า “Extended Release, Controlled Release, Sustained Release, Modified Release, Slow Release Technology” ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ออกแบบเพื่อประสิทธิภาพ “การออกฤทธิ์” ของยาด้วยการควบคุมให้แตกตัวและดูดซึมในอวัยวะเป้าหมาย หรือค่อยๆ “ปลดปล่อย” ตัวยาออกมาในปริมาณที่สม่ำเสมอเป็นเวลานาน 4 หรือ 8 ชั่วโมง ปัจจุบันยาที่ผสมผสานนวัตกรรมนี้ ได้แก่ ยาระงับปวดชนิด Tramadol ยากันชัก และวิตามินซีชนิดออกฤทธิ์นาน ที่ตอบโจทย์ผู้ที่ขาดวิตามินซีได้เป็นอย่างดี

วิตามินซีชนิดออกฤทธิ์นาน VS. ออกฤทธิ์สั้น

  • วิตามินซีชนิดออกฤทธิ์นาน ปลดปล่อยสารสำคัญอย่างช้าๆ และคงที่ต่อเนื่องนาน 8 ชั่วโมง
  • วิตามินซีชนิดออกฤทธิ์สั้น จะปลดปล่อยสารสำคัญในครั้งเดียว ทำให้มีระดับวิตามินซีสูงและคงอยู่เพียง 2 ชั่วโมง

ประโยชน์เด่นๆ ของวิตามินซีชนิดออกฤทธิ์นานก็คือ

  • ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น
  • ช่วยลดปัญหาการระคายเคืองกระเพาะอาหารสำหรับผู้ที่มีปัญหาในระบบทางเดินอาหาร
  • ลดความถี่ในการกินวิตามินซีลง

อย่างไรก็ตาม ควรกินวิตามินซีในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ควบคู่ไปกับการกินผักและผลไม้ปกติ ซึ่งให้วิตามิน เกลือแร่ และไฟโตนิวเทรียนท์ ที่ร่างกายต้องการ ทั้งนี้ก็เพื่อสุขภาพโดยรวมที่ดีนั่นเอง

รู้หรือไม่ การสูบบุหรี่หนึ่งมวนจะผลาญวิตามินซีในปริมาณเท่ากับส้มเขียวหวานราว 1 ผล!

สรุป

วิตามินซี หรือ กรดแอสคอร์บิก (Ascorbic Acid) เป็นวิตามินชนิดละลายในน้ำที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ลดความรุนแรงและระยะของการเป็นหวัด ช่วยป้องกันโรคเรื้อรัง และลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ นอกจากนี้ วิตามินซีในครีมทาผิวยังมีส่วนช่วยแก้ปัญหาผิวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเสริมสร้างคอลลาเจน เติมความชุ่มชื้นให้ผิว ลดการอักเสบ รอยดำ และรอยแดงจากสิว พร้อมลดโอกาสเกิดรอยหมองคล้ำใต้ตาได้อีกด้วย ทั้งนี้ แม้วิตามินซีธรรมชาติมักอยู่ในผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะนาว ส้ม ฝรั่ง มะขาม แต่สำหรับคนที่กินผลไม้รสเปรี้ยวไม่ได้ อาจจะไม่สะดวกซื้อ หรือไม่ชอบรสชาติก็ตาม ก็สามารถเลือกกินอาหารเสริมวิตามินซีได้ด้วยเช่นกัน

ข้อมูลอ้างอิง

  1. Mayo Clinic Staff. Vitamin C. mayoclinic.org. Published 10 August 2023. Retrieved 31 July 2024.

  2. U.S. Department of Agriculture. FoodData Central. fdc.nal.usda.gov. Retrieved 31 July 2024.

  3. Atli Arnarson BSc, PhD. 7 Impressive Ways Vitamin C Benefits Your Body. healthline.com. Published 19 February 2022. Retrieved 7 August 2024.

  4. Reema Patel, MPA, PA-C. 11 Reasons to Add Vitamin C Serum to Your Skin Care Routine. healthline.com. Published 3 February 2023. Retrieved 7 August 2024.

  5. Dan Brennan, MD. What to Know About Vitamin C Serum for Acne. webmd.com. Published 27 November 2021. Retrieved 7 August 2024.

  6. Rizwan M Sanadi and Revati S Deshmukh. The effect of Vitamin C on melanin pigmentation – A systematic review. ncbi.nlm.nih.gov. Published 27 November 2021. Retrieved 9 September 2020.

shop now